สวัสดีค่ะทุกคนที่ได้อ่านบล็อคนี้ วันนี้ฉันจะมาแชร์ บอกเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ในการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบ“ส่วนตัว” และ “ครั้งแรก”ในชีวิต ก่อนอื่นฉันขอเท้าความว่าฉันอายุ 28 ปี ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานในสาย Digital Marketing ตั้งแต่เรียนจบ ส่วนมากจะทำงานในบริษัท องค์กรที่เป็นที่รู้จัก รวมไปถึงองค์กรต่างชาติด้วย แต่ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมทำงานในบริษัทต่างชาติ แล้วทำไมยังต้องการที่จะเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม? เหตุผลก็เพราะว่า “ไม่ได้ใช้ทุกวัน”ลองนึกภาพว่าเราใช้ภาษาอังกฤษในการพูดมากที่สุดตอนไหน ก็คงจะเป็นการสัมภาษณ์งาน ในด้านของการทำงานจริงๆแล้ว ร้อยละ 80 ใช้ในการส่งเมลล์ หรือพิมพ์แชท แต่แทบจะไม่ได้พูดเลย ฉันจะใช้เวลากับภาษาอังกฤษเพียงฉาบฉวยเพียงแค่เฉพาะเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์เท่านั้น นอกเหนือไปจากนี้ การสื่อสารทั่วๆไปในชีวิตประจำวัน โดยส่วนตัวมองแตกต่างจากการพูดในการทำงาน เพราะการสื่อสารในที่ทำงานมีเรื่องของหลักการพูด และเรื่องคำศัพท์ทางเทคนิคเข้ามาเกี่ยวข้อง มีรูปแบบในการพูดที่ต่างออกไปจากการพูดปกติ และหากว่าคุณต้องการที่จะเป็นที่ยอมรับ หรือ ต้องการดู perfessional แล้วนั้นการพูดคล่อง มีความมั่นใจ ใช้คำศัพท์ได้หลากหลาย โดยที่ถูกไวยากรณ์แล้วด้วยนั้นคือเรื่องสำคัญสำหรับมากเลยทีเดียว

 

เป้าหมายที่ฉันต้องการอยากเรียนภาษาอังกฤษ เพราะฉันพูดไม่คล่อง ไม่มั่นใจ ไวยการณ์ผิดๆถูกๆ จนรู้สึกว่าต้องการพัฒนาศักยภาพในด้านนี้ และฉันคิดว่าคนส่วนมากอาจจะมีปัญหาที่คล้ายกับฉันคือ เมื่อเวลาประชุมที่ต้องแสดงความคิดเห็น เราอยากจะพูด แต่เราไม่มั่นใจ เพราะกลัวพูดผิด เลยทำให้เราเลือกที่จะเงียบ แต่กระนั้นสิ่งที่ฉันคิด มันเป็นเพียงเหมือนน้ำแข็งที่ผุดขึ้นมาบนน้ำเท่านั้น เพราะฉันค้นพบว่าการที่พูดให้คล่องได้นั้น ไม่ใช่แค่เรื่องการพูดเพียงอย่างเดียว ต้องผสมผสานศาสตร์ต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งฉันจะอธิบายให้ทุกคนได้เห็นภาพจากประสบการณ์ของฉัน แต่ก่อนอื่นฉันจะอธิบายการเรียนภาษาอังกฤษให้ทุกคนได้อ่านแบบคร่าวๆ เพื่อให้เข้าใจว่าฉันได้เจอ และเรียนรู้กับอะไรตลอดการเรียนทั้งหมดที่ผ่านมา ดังนี้

 

ฉันได้เรียนภาษาอังกฤษแบบส่วนตัวเป็นระยะเวลาประมาณเกือบๆ 7 เดือนแล้ว หลายคนคงจะรู้สึกว่าเรียนนานมาก แต่สำหรับฉันเวลาผ่านไปไวมาก ฉันสนุกกับการเรียน enjoyไปกับสิ่งที่ครูมอบหมายให้ทำ ให้ฝึก เพราะการเรียนจะมีทั้งทฤษฎี ปฏิบัติ มีเป็นกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยทำให้การเรียนไม่น่าเบื่อเลย ซึ่งฉันจะแบ่งช่วงการเรียนของฉันออกเป็น 3 ช่วงคือ ช่วงที่ 1, 2 และปัจจุบัน

 

ช่วงที่ 1

ในการเรียน 2 เดือนแรกของฉัน ภาพรวมคือเป็นช่วงที่น่าตื่นเต้นมากๆ ทั้งได้เรียนรู้สิ่งต่างๆที่เราเข้าใจผิด หรือลืม เรียกได้ว่าเป็นการปูและปรับพื้นฐานของฉันทั้งหมด ทั้งการลองพูด ลองเขียนตามหัวข้อต่างๆ จากนั้นครูก็จะมีการมาปรับแก้ และอธิบายในแต่ละไวยากรณ์ที่เราผิด นอกเหนือจากการเรียนรู้ในข้างต้นนี้ฉันได้เจอกับความท้าทายระหว่างช่วงที่เรียน คือบริหารจัดการเวลา ทั้งในเรื่องความเหนื่อยล้าจากการทำงาน การเดินทาง การดูแลตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย เวลาของฉันค่อนข้างที่จะรัดตัวมาก มนุษย์เงินเดือนที่ทำงานตั้งแต่เช้าถึงเย็น ยิ่งสะสมความเหนื่อยล้า แต่โชคดีมากคือระหว่างเรียนฉันสามารถเลือกและปรับเวลาการเรียนให้ตอบโจทย์และเข้ากับชีวิตประจำวันของตัวเองได้ตลอด โดยฉันเลือกที่จะเรียนแบบวิดีโอ 3 วัน และพูดคุยผ่านทางไลน์ 3 วัน ในช่วงหลังเลิกงาน และพัก 1-2 วัน

 

เมื่อเจาะลึกถึงรายละเอียดเนื้อหาในการเรียนนั้นแบบวิดีโอนั้น ครูจะมีการสอบถามเกี่ยวกับ Background ในการทำงานทั้งหมดและงานปัจจุบัน เพื่อให้เนื้อหาในการที่ฉันต้องพูดมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของงาน และสามารถนำเอาไปใช้ในชีวิตจริงในการทำงานได้ และปัญหาที่พบได้หลักๆ คือเรื่อง การพูดที่ติดขัดมากๆ ในช่วง 2 เดือนแรกของฉันใช้ “เอ่อ” “คำว่าอะไรนะ” “อืม” บ่อยมากๆ เพราะเวลาที่ต้องพูดจริงๆ ฉันนึกคำไม่ออกเลย และนอกจากนี้ยังมีในเรื่องของการพูดที่ผิดไวยากรณ์ การเขียนก็ผิดไวยากรณ์ การอ่านก็ออกเสียงแบบผิดๆ คือครบแทบทุกอย่าง

 

ส่วนในการคุยไลน์นั้นส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์มาก ที่จะฝึกให้ฉันได้ฟังและพูดให้คล่องขึ้น เนื้อหามีหลากหลายมากทั้งบอกเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวัน หรือเอาบทความ หรือเนื้อหาจากวิดีโอใน youtube ที่เกี่ยวข้องกับงานมาแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกัน ผสมผสานกับการบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวันเข้าด้วยกัน ระหว่างที่พูด ครูจะมีการจดบันทึกสิ่งที่ฉันพลาดทุกครั้ง เพื่อมาแก้ไขและอธิบายเวลาเรียนแบบวิดีโิอนั่นเอง ในแต่ละวันฉันจะได้การบ้านมาทำ เพื่อเป็นการรีเช็คความรู้ของฉันว่าถูกหรือไม่ เพื่อจะได้มีการแก้ไขต่อไปด้วย ถือว่าจัดเต็มมากๆ ทั้งในด้านเนื้อหาและภาคปฏิบัติ ตลอดระยะเวลา 2 เดือนแรกสิ่งที่ฉันได้รับรู้คือ สิ่งที่ครูสอนนั้นต่างกับการเรียนในห้องเรียนสมัยที่ฉันเรียนอยู่ในโรงเรียน ตั้งแต่ในแง่ของการนำหลักไวยากรณ์มาใช้ หรือกระทั่งการอ่านตัวอักษรภาษาอังกฤษแต่ละตัว เพราะแต่ละตัวมีเสียงของตัวเอง เช่น BUT เราไม่ได้อ่านว่า บี-ยู-ที = บัด แต่เราต้องอ่านว่า bət คือ บ่ะ-เอ่อะ-ทึส์

 

 

ถ้าเราได้ถูกการปูพื้นฐานที่ถูกตั้งแต่แรกก็จะทำให้เราพูดได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น หรือใกล้เคียงกับ native speaker และฉันได้เห็นความเปลี่ยนแปลงนั้น ฉันอ่านภาษาอังกฤษได้ถูกต้องมากขึ้น หลักไวยากรณ์ดีขึ้น ยังคงมีที่ผิดพลาดอยู่ เพราะอาจจะไม่ชิน และไม่ค่อยได้ใช้บ่อย แต่ฉันก็รู้ว่าต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกฝนเพิ่มอีก และมันทำให้ฉันอยากที่จะทำตัวเองให้เก่งขึ้นอีก ฉันจึงตัดสินใจที่จะเรียนต่อในช่วงที่ 2 

 

ติดตามต่อใน post ถัดไปสำหรับพัฒนาการขั้นต่อมาจากการเรียนนะคะ

 

 

Porntipa Vongsakda